|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
“ข้าวยำปักษ์ใต้” หรือ
“ข้าวยำน้ำบูดู” เมนูเด็ดที่ว่านี้
มาพร้อมกับคุณค่าทางโภชนาการ
อย่างครบถ้วน รสชาติที่มีเอกลักษณ์
และส่วนผสมที่หลากหลายด้วยสมุนไพรต่าง ๆ
มาถึงภาคใต้แล้วห้ามพลาดลิ้มลอง
ต้นตำรับอาหารปักษ์ใต้ |
|
|
ที่มา : ฐิติมา สิงห์แก้ว. 2557,59 |
|
|
|
สำหรับการทำน้ำบูดูนั้น เริ่มจากนำปลาทะเลสด ๆ ซึ่งสามารถใช้ปลา
ชนิดใดก็ได้ (แต่น้ำบูดูขึ้นชื่อในอำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานีมักใช้ปลากะตัก
เนื่องจากเชื่อว่าจะได้น้ำบูดูที่มีกลิ่นและรสชิดี) จากนั้นก็นำปลามาล้างให้สะอาด
แล้วนำไปใส่กระบะไม้ขนาดประมาณ 0.๕ x 2 เมตร และเติมเกลือสมุทร
ประเภทหยาบลงไปในอัตราส่วนปลากะตักต่อเกลือเป็น ๓ : ๑ โดยน้ำหนัก
แล้วคลุกเคล้าให้เข้ากันด้วยไม้พาย เมื่อคลุกปลากับเกลือเข้ากันได้ที่ดีแล้ว
ก็จะนำไปใส่ในโอ่งดินหรือบ่อซิเมนต์ ที่ชาวบ้านทั่วไปเรียกว่า “บ่อบูดู”
ซึ่งมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ ๑ เมตร สูง ๑ เมตร แล้วใช้
กระสอบหรือผ้าคลุมปิดไว้ จากนั้นก็คอยให้ปลายุบตัวลง แล้วจึงเติมปลา
และเกลือที่คลุกแล้วลงไปอีกจนเกือบเต็ม โดยจะเว้นพื้นที่บางส่วน
ของบ่อบูดูไว้เผื่อก๊าซที่เกิดจากการหมักดันฝาบ่อ |
|
|
|
|
|
|
เมื่อปลาในบ่อบูดูอัดแน่นได้ที่ดีแล้วจะทำการปิดบ่อบูดูให้มิดชิด
ด้วยกระสอบเกลือและใช้ไม้ไผ่สาน หรือกระเบื้องหลังคาปิดทับ
และอาจใช้วัตถุหนัก ๆ ปิดทับไว้อีกที ทิ้งระยะเวลาการหมักประมาณ
๘ – ๑๒ เดือนอย่างที่ได้กล่าวข้างต้น โดยในช่วงนี้จะไม่เปิดบ่อบูดูเลย
และต้องไม่ให้น้ำฝนเข้าไปในบ่อบูดูได้ เพราะจะทำให้น้ำบูดูมีสีดำ
และมีกลิ่นเหม็น เมื่อครบกำหนดเวลาก็จะเปิดบ่อบูดู ซึ่งจะมีน้ำบูดู
และเนื้อบูดูปะปนกันอยู่โดยบูดูที่มีน้ำบูดูเป็นส่วนใหญ่จะเรียกว่า
“บูดูใส” ส่วนบูดูที่มีเนื้อบูดูปะปนอยู่มากจะถูกนำไปผลิตเป็น
“บูดูข้น” คราวนี้ใครชอบรับประทานแบบใสหรือแบบเข้มข้น
ก็สามารถเลือกรับประทานได้ตามใจชอบ ปัจจุบันมีการแปรรูป
น้ำบูดูบรรจุขวดจำหน่ายหลายยี่ห้อ ซึ่งสามารถซื้อหามาทำเอง
ที่บ้านได้อย่างง่าย ๆ |
|
|
|
|
ที่มา : ฐิติมา สิงห์แก้ว. 2557,59
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|